ประเทศไทยถูก World Economic Forum ประเมินว่า
มีคุณภาพการศึกษา อยู่ในอันดับที่ ๘ ในกลุ่มประชาคมอาเซียน โดยประเทศที่ถูกประเมินว่า
มีคุณภาพการศึกษา อันดับ ๑.คือ สิงคโปร์ ๒.มาเลเซีย ๓.บรูไน ๔. ฟิลิปปินส์ ๕.
อินโดนีเซีย ๖. กัมพูชา ๗. เวียดนาม ๘.ไทย (ไม่มี ลาวและพม่า)
จากการสืบค้นข้อมูล ชี้ว่า การจัดงบประมาณเพื่อการศึกษาของประเทศไทย ตั้งแต่ปี
พ.ศ.๒๕๕๑ รัฐบาลไทยได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อบริหารการศึกษา
มากเป็นอันดับ ๑ และจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นทุกปีมาโดยตลอด ดังต่อไปนี้
ปี ๒๕๕๑
จัดสรรงบประมาณ ให้ ฯ จำนวน ๓๐๑,๔๓๗,๔๐๐,๐๐๐ บาท คิดเป็น
ร้อยละ๑๘.๒ ของงบประมาณประจำปี
ปี ๒๕๕๒
จัดสรรงบประมาณ ให้ฯจำนวน ๓๕๐,๕๕๖,๕๙๑,๒๐๐ บาท คิดเป็น
ร้อยละ ๑๘ ของงบประมาณประจำปี
ปี ๒๕๕๓
จัดสรรงบประมาณ ให้ ฯ จำนวน ๓๔๖,๗๑๓,๐๙๓,๓๐๐ บาท คิดเป็น
ร้อยละ ๒๐.๔ ของงบประมาณประจำปี
ปี ๒๕๕๔
จัดสรรงบประมาณ ให้ ฯ จำนวน ๓๙๒,๔๕๔,๐๓๗,๘๐๐ บาท คิดเป็น
ร้อยละ ๑๘.๑ ของงบประมาณประจำปี
ปี ๒๕๕๕
จัดสรรงบประมาณ ให้ ฯ จำนวน ๔๒๐,๔๙๐,๐๓๒,๖๐๐ บาท คิดเป็น
ร้อยละ ๑๗.๗ ของงบประมาณประจำปี
ปี ๒๕๕๖
จัดสรรงบประมาณ ให้ ฯ จำนวน ๔๖๐,๔๑๑,๖๔๘,๘๐๐ บาท คิดเป็น
ร้อยละ ๑๙.๑๘ ของงบประมาณประจำปี (ข้อมูลจาก:
งบประมาณแผ่นดิน)
สำหรับ
ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ รัฐบาลได้จัดสรร งบประมาณ ให้ กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๔๘๑,๓๓๗ ล้านบาท
ซึ่งเป็นงบประมาณ เพื่อการศึกษา ที่สูงมากในกลุ่ม อาเซียน (ข้อมูลจาก: กนก วงษ์ตระหง่าน)
จากข้อมูลงบประมาณ
จะเห็นว่ารัฐบาลไทย ได้ทุ่มงบประมาณ เพื่อจัดการศึกษา มาจนถึงปัจจุบัน จำนวนมหาศาล
แต่ ทำไมผลที่ปรากฏออกมา จึงตรงกันข้าม กลับปรากฏว่า คุณภาพการศึกษาของประเทศไทยต่ำสุด
ในกลุ่มชาติอาเซียน ?
จากการวิเคราะห์
น่าจะมีสาเหตุจากปัจจัย ดังต่อไปนี้
๑. ความยากจนของประชาชน ในชนบทห่างไกล โดย ข้อมูล จาก
หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ วันที่ ๑๒ พ.ย. ๒๕๕๔ รายงานว่า นายวัชรินทร์ จำปี
รองเลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) บอกว่า
ผู้ที่ไม่ได้เข้าเรียน ส่วนใหญ่ เป็นคนไทยที่อยู่ในชนบท ห่างไกลและมีความยากจน
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทย ในชีวิตประจำวัน เช่น ชาวเขา
หรือประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือไม่ก็เป็นผู้ที่ไม่ประสงค์จะเข้าเรียน เนื่องจากอายุมาก
หรือต้องทำงานตลอดเวลา ทำให้ไม่มีเวลาไปเรียนหนังสือ
๒. ปัจจุบัน มีคนไทย ไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ประมาณ
๒ ล้าน คน (ข้อมูลจาก:Unesco
,September 10,2012)
๓. คนไทย ไม่มีนิสัยรักการอ่าน จากสถิติ ปรากฏว่า
คนไทยอ่านหนังสือ ๘ บรรทัด จากค่าเฉลี่ย ของคนทั้งประเทศ ๖๕ ล้านคน แต่เพื่อนบ้าน
อย่าง สิงคโปร์,เวียดนาม
อ่านปีละ ๕เล่ม ประเทศ จีนอ่านปีละ ๖ เล่ม ยุโรป อ่านปีละ ๑๖ เล่ม ( ข้อมูลจาก:สำนักงานสถิติแห่งชาติ)
๔.คุณภาพของโรงเรียนและบุคลากร(ครู) ในเมืองและในชนบทที่ห่างไกล
แตกต่างกันอย่างมาก โดย โรงเรียนในชนบทบางแห่ง ขาดแคลน ครู, อุปกรณ์การเรียน
การสอน บางโรงเรียน ครูคนเดียวสอนนักเรียนหลายห้องในเวลาเดียวกัน
อีกทั้งครูไม่มีเวลาสอนนักเรียนเต็มประสิทธิภาพเนื่องจากมีกิจกรรมอื่นให้รับผิดชอบ
เป็นสาเหตุให้นักเรียนเสียโอกาสในการเรียน
๕. การบริหารการศึกษาของประเทศไทยยังขาดประสิทธิภาพ ผู้บริหารการศึกษาขาดวิสัยทัศน์
และไม่จริงจังกับการบริหารการศึกษาให้มีคุณภาพ แม้จะปรากฏว่า
มีนักเรียนไทยบางส่วนเรียนดีได้รับรางวัลการแข่งขันด้านต่างๆ
แต่ก็เป็นนักเรียนส่วนน้อยเมื่อเทียบส่วนกับนักเรียนทั้งประเทศและจะเป็นนักเรียนที่ฉลาดและเรียนเก่งโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
๖.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้วางนโยบายระดับสูงสุด
ของประเทศไทย มีการเปลี่ยนตัวบ่อยมากและผู้มาดำรงตำแหน่งส่วนใหญ่
ไม่ใช่ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการศึกษา นโยบายการศึกษาจึงเปลี่ยนไป เปลี่ยนมา
ไม่แน่นอน ทำให้การศึกษาของไทยไม่มีคุณภาพ
๗.ปัญหาการคอร์รัปชั่น จากผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นตลอด
๑๖ ปี (พ.ศ.๒๕๓๘-๒๕๕๔) ของประเทศไทย ได้คะแนน เฉลี่ย ๓.๓๑
(ประเทศที่มีการจัดการคอร์รัปชั่นดีขึ้นแล้วต้องมีคะแนนขั้นต่ำไม่น้อยกว่า ๕
คะแนน) ซึ่งถือว่าสถานการณ์คอร์รัปชั่นของไทยยังมีแนวโน้ม
อยู่ในระดับสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีการจัดอันดับดีกว่า อาทิ
สิงคโปร์และฮ่องกง (ศิริวรรณ มนตระผดุง: วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์ ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑ มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๕)
การคอร์รัปชั่นในประเทศไทยมีในทุกวงการไม่เว้นแม้แต่ในวงการศึกษา
ดังปรากฏตัวอย่างการทุจริตในวงการศึกษา กรณีจัดซื้ออุปกรณ์การเรียน
ในโรงเรียนอาชีวะศึกษา เมื่อไม่นานมานี้
การที่คุณภาพการศึกษาของประเทศไทยต่ำมากเช่นนี้
เป็นสัญญาณว่า คุณภาพของประชากรไทยต่ำเช่นกัน
เพราะการให้การศึกษาเป็นตัวชี้วัดคุณภาพของประชากร
เมื่อคุณภาพของประชากรต่ำการพัฒนาประเทศก็ไม่สามารถก้าวไปสู่เป้าหมายได้จึงเป็นเรื่องที่น่าวิตกอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย
อ้างอิง
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/wittayakorn_c/20120605/454778/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3.html
เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก
โดยเฉพาะตัวนี้ผมยังศึกษาอยู่ เทคโนโลยีสารสนเทศ ช่วยในการหาข้อมูล เก็บข้อมูล
การทำงาน รวบรวมข้อมูลทั้งในด้าน การบ้าน รายงาน โปรเจ็คต่างๆ ความรู้รอบตัว
ข่าวสารบ้านเมือง หรือแม้แต่เวลาจะไปหาหนังสืออ่าน อุปกรณ์การศึกษา
ก็ต้องผ่านการหา เก็บ และรวบรวมข้อมูลก่อนที่จะตัดสินใจ
สรุปคือ
เทคโนโลยีสารสนเทศ สร้างความสะดวกและรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร
การเข้าถึงข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วและได้ข้อมูลที่ทันสมัยตลอดเวลา
ที่เห็นได้ชัดเจนในชีวิตประจำวันของเราคือโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น